วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Hikikomori Syndrome

มีรายงานว่าเด็กญี่ปุ่นจำนวนมากมีอาการของ Hikikomori Syndrome มาตั้งแต่ปี ๑๙๙๖
นอกจากญี่ปุ่น ยังพบรายงานเกี่ยวกับเด็กที่มีอาการคล้ายคลึงกันนี้จากประเทศเกาหลี ไต้หวัน และสิงคโปร์ด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศที่กล่าวมาล้วนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่งคั่งทั้งสิ้น
และเท่าที่ทราบ ยังไม่มีรายงานกลุ่เด็กที่มีอาการของฮิคิโคโมริซินโดรมหรือป่วยด้วยโรคฮิคิโคโมริ
หมายถึง เด็กที่แยกตัวออกจากสังคม เก็บตัวอยู่เฉพาะในห้องส่วนตัวหรือในบ้าน
เป็นแรมเดือนหรือหลายปี ก่อนที่จะลงรายละเอียดของโรคหรือกลุ่มอาการนี้
มีหลายประเด็นที่ควรทำความเข้าใจก่อน หรือจะพูดให้ถูกคือ
ถึงตอนนี้ก็ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับฮิคิโคโมริที่เรายังไม่เข้าใจ
จิตแพทย์และนักจิตวิทยาญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งให้ความเห็นว่า
ฮิคิโคโมริเกิดขึ้นได้เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม และมิใช่โรค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิใช่โรคทางจิตเวช หากฮิคิโคโมริเกิดขึ้นได้เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น
ก็จะมีคำถามตามมาว่าญี่ปุ่นมีอะไรที่ชาติอื่นไม่มี มอาการนี้อย่างเป็นทางการในประเทศไทย
คำตอบคือ ญี่ปุ่นมีระบบการศึกษาที่เคี่ยวเข็ญเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างที่เราทราบกันว่าการแข่งขันของเด็กญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่ชั้นอนุบาล ญี่ปุ่นมีระบบการจ้างงานตลอดชีวิต มีวัฒนธรรมการทำงานที่เรียกร้องให้คนทำงานหนัก หนักกว่า และหนักที่สุด ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีการสื่อสารเลิศที่สุดในโลก ที่สำคัญคือ ญี่ปุ่นผ่านความบอบช้ำอย่างรุนแรงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ระบบการศึกษาแบบญี่ปุ่น และวัฒนธรรมการทำงานแบบญี่ปุ่น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในสังคมญี่ปุ่นมานานครึ่งศตวรรษแล้ว ซึ่งนักสังคมวิทยาเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นการบ่มเพาะปรากฏการณ์ฮิคิโคโมริที่สำคัญก่อนที่จะถูกกระตุ้นให้แสดงออกอย่างชัดเจนด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารในช่วง ๑๐ ปีหลัง เหล่านี้คือสิ่งที่ชาติอื่นไม่มี และแม้ว่าระบบการศึกษาและวัฒนธรรมการทำงานอาจเป็นเรื่องที่เลียนแบบกันได้ แต่ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ แบบที่ญี่ปุ่นเผชิญ เป็นเรื่องพิเศษเฉพาะตัว และเมื่อมองว่าฮิคิโคโมริเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม ไม่ใช่โรค เพราะฉะนั้นการใช้คำว่า “โรค” หรือ “Syndrome” ในบทความนี้จึงอาจถือว่าผิด
เด็กที่มีอาการฮิคิโคโมริมักเป็นเด็กผู้ชายและมักเป็นลูกคนโต เด็กเหล่านี้จะไม่ไปโรงเรียน ใช้ชีวิตในห้องส่วนตัวตลอดเวลา ส่วนใหญ่จะนอนตอนกลางวันและตื่นตอนกลางคืน อาจจะออกจากห้องไปที่ครัวในกลางดึกบ้างเพื่อหาอาหารกิน หรือมีบ้างที่จะออกจากบ้านกลางดึกเพื่อไปซื้อเสบียงจากร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง กิจกรรมที่พวกเขาทำขณะตื่นกลางดึกนั้นคือดูทีวีไปเรื่อยๆ เซิร์ฟไปตามเน็ต เล่นเกม และอ่านการ์ตูน เรียกได้ว่าครบสูตร หนักที่สุดคือนั่งจ้องผนังเฉยๆ ไปเรื่อยๆ ขอให้สังเกตว่าพวกเขาไม่นิยมแช็ตหรือส่งเมลให้ใครหรือสื่อสารกับใครแม้ในความจริงเสมือน พวกเขาอาจมีโทรศัพท์มือถือไว้ข้างตัวแต่ก็มิใช่เพื่อการพูดคุย พวกเขาสร้างโลกเสมือนขึ้นเพื่อให้ตนเองอยู่อย่างแท้จริง และพวกเขาสามารถอยู่ได้จริงๆ ตลอดไปเสียด้วย หลายปีมานี้ผมพบเด็กไทยในครอบครัวคนชั้นกลางเขตเมืองที่ไม่เรียนหนังสือมากขึ้น เด็กเหล่านี้จะอยู่บ้านเฉยๆ เล่นเน็ต เล่นเกม และอ่านการ์ตูน แต่ที่พิเศษกว่าเด็กฮิคิโคโมริ คือพวกเขาเมาท์ แช็ต และบางคนชอปด้วย จึงยังไม่อาจเรียกว่าฮิคิโคโมริได้เต็มปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเราไม่เคยแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๒ (ที่จริงแล้วเขาว่าเราเป็นผู้ชนะเสียด้วยซ้ำไป) และต่อให้เรามีการศึกษาระบบทารุณกรรม แต่เราก็ยังไม่มีวัฒนธรรมการจ้างงานตลอดชีวิต เราไม่มีแม้กระทั่งวัฒนธรรมการทำงานหนัก เด็กพวกนี้จึงไม่ใช่เด็กฮิคิโคโมริ อย่างไรก็ตาม มีข้อเหมือนอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือพฤติกรรมเช่นว่านี้พบเฉพาะเด็กในครอบครัวคนชั้นกลางเท่านั้น ครอบครัวที่พ่อแม่รวยพอที่จะปรนเปรอลูกด้วยวัตถุถึงห้องนอน แต่ก็ไม่รวยพอที่จะส่งลูกหนีจากการศึกษาระบบทารุณกรรมไปเรียนต่างประเทศ

ที่แท้แล้วเด็กแยกตัวบ้านเราเป็นเด็กอะไร ?