วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลก !!!


ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลก !!!

เหตุผลที่ประเทศไทย เป็นสยามเมืองยิ้ม มีดังต่อไปนี้

1. ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางครัวโลก ไม่ต้องกลัวอดตาย มีอาหารกินตลอดเวลา และส่งออกไปทั่วโลก

2. ประเทศไทยมีทรัพยกรธรรมชาติที่สมบูรณ์มาก มีป่าไม้ ภูเขา ทะเล ทองคำ จนได้ชื่อว่าดินแดนสุวรรณภูมิ

3. ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตแผ่นดินไหวโดยตรง แนวแผ่นดินไหว อ้อมประเทศไทยทั้งประเทศ

ในขณะที่เกือบทั้งโลกอยู่ในเขตแผ่นดินไหวรุนแรง

4. ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตพายุรุนแรง นานๆจะเจอสักครั้ง

เพราะพายุไต้ฝุ่นส่วนใหญ่เกิดในทะเลจีนใต้ บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ มาถล่มหนักเวียดนาม ลาว เขมร

และอ่อนตัวลง กลายเป็นพายุธรรมดาเมื่อเข้าประเทศไทย

5. ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ในขณะที่ทุกประเทศในอาเซียนตกเป็นอาณานิคม

6. ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้พ่ายแพ้ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2

7. ประเทศไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์

ในขณะที่ลาว กลายเป็นคอมมิวนิสต์ ล้มสถาบันกษัตริย์

ประเทศเขมร กลายเป็นเขมรแดง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนชาติเดียวกัน และศาสนาถูกทำลาย

8. คนทุกชนชาติ และทุกศาสนาในประเทศไทยมีสิทธิ เสรีภาพ มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

9. พระพุทธศาสนา เจริญที่สุดในโลกในประเทศไทย

เพราะประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกและทรงเป็นพุทธมามกะ

10. ประเทศไทย มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนัก

เพื่อพสกนิกรชาวไทย ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์กว่า 60 ปี

ทรงมีโครงการในพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการ โครงการส่วนพระองค์ส่วนจิตรลดา

ทรงก่อตั้งมูลนิธิต่างๆมากมาย เช่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ มูลนิธิพระดาบส มูลนิธิชัยพัฒนา เป็นต้น

ทรงอุปถัมถ์พระศาสนา ภ่าษาไทย วัฒนธรรม ประเพณี พระราชพิธี งานช่างหลวง

การศึกษา การแพทย์ การคมนาคม การอนุรักษ์ดินและนํา ทรัพยากรป่าไม้ ป่าชายเลน

เกษตรทฤษฎีใหม่ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ

การจัดลำดับ 100 ประเทศที่ดีที่สุด!!

นิตยสารนิวส์วีค (Newsweek) ได้จัดทำผลการสำรวจ "ประเทศที่ดีที่สุดในโลก"


(The World′s Best Countries) ขึ้นเป็นครั้งแรก น่าสนใจตรงที่มีการนำปัจจัยต่างๆ ที่มีความสำคัญ และมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต มาเป็นแนวทางในการพิจารณาร่วมกัน ซึ่งแตกต่างจากผลการสำรวจอื่น ซึ่งพิจารณาแต่เพียงเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น

ปัจจัยสำคัญที่มีการนำมาพิจารณาประกอบคือ การศึกษา สุขภาพ คุณภาพชีวิต การแข่งขันทางเศรษฐกิจ และบรรยากาศทางการเมือง และ นำคะแนนจากผลการพิจารณาในแต่ละหมวดดังกล่าวมาประมวลเข้าด้วยกัน เพื่อทำการจัดลำดับคะแนน ประเทศที่มีคะแนนสูงสุด 100 ประเทศ โดยมีคะแนนเต็มทั้งหมด 100 คะแนน

ผลการสำรวจดังกล่าวพบว่า ประเทศที่มีขนาดเล็ก หรือประเทศเกิดใหม่ มีระดับคะแนนในหลายๆด้านดีกว่า หรือเท่าเทียมกับประเทศมหาอำนาจ หรือประเทศที่มีความเจริญด้านเศรษฐกิจ จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศใหญ่ๆอย่าง จีน บราซิล หรือตุรกี มีคะแนนในบางด้านสูสีกับประเทศเล็กๆ อย่างสโลเวเนีย หรือ เอสโตเนีย เนื่องจากประเทศที่มีขนาดเล็กไม่มีความจำเป็นต้องใช้แรงผลักดันและความ พยายามมากนัก เพื่อที่จะขับเคลื่อนประเทศของตนให้มีระดับการพัฒนาในด้านต่างๆให้ดีขึ้น

แต่ ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ประเทศที่มีขนาดเล็ก และร่ำรวยอย่างประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์ และเดนมาร์ค) จะสามารถอยู่ใน 10 อันดับแรกได้ทั้งหมด โดยฟินแลนด์ อยู่ในอันดับ 1 สวีเดน อันดับ 3 นอร์เวย์ อันดับ 6 และเดนมาร์ค อันดับ 10

นอก จากนั้นประเทศที่มีการพัฒนาระบบการศึกษาที่ดี และครอบคลุมในวงกว้าง ก็มีแนวโน้มที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้ไม่ยากนัก ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไมสหรัฐอเมริกา ประเทศยุโรปตะวันตก และประเทศในเอเชียอย่าง ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้จึงได้คะแนนรวมที่ค่อนข้างดี (85.99 และ 83.28 ตามลำดับ) โดยเกาหลีใต้อยู่ในอันดับ 2 ของประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุด เป็นรองเพียงประเทศฟินแลนด์เท่านั้น


ส่วน ประเทศไทย แม้ว่าจะมีอัตราการรู้หนังสือที่สูงถึง 92.7 แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว มีคะแนนด้านการศึกษาเพียง 79.28 หรืออยู่ในอันดับที่ 57 ด้านสุขภาพอนามัย (อันดับที่ 66) ด้านคุณภาพชีวิต (อันดับที่ 55) ด้านแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ (อันดับที่ 39) ซึ่งเป็นรองสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในอันดับ 1 และ 14 ตามลำดับ ส่วนด้านสภาพแวดล้อมทางการเมืองนั้น อยู่ในอันดับที่ 74 อันเนื่องมาจากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง โดยมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองเพียง 5.56 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 และระดับความมั่นคงทางการเมืองเพียง 56.5 คะแนน จาก 100 คะแนน และเมื่อพิจารณาจากคะแนนโดยรวมแล้ว...

ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 58 หรือ 62.17 คะแนน

( ข้อมูลมติชน )

00000

เข้าดูข้อมูลเดิมจาก Newsweek ได้ที่

http://www.newsweek.com/2010/08/15/interactive-infographic-of-the-worlds-best-countries.html

กดตรงชื่อประเทศจะมีข้อมูลของแต่ละประเทศ
หากต้องการเปรียบเทียบ กดชื่อประเทศซ้อนกันได้



คะแนนรวมแต่ละประเทศ

1. Finland 89.40
2. Switzerland 89.40
3. Sweden 88.93
4. Australia 88.93
5. Luxambourg 87.45
6. Norway87.45
7. Canada 87.29
8. Netherlands 87.29
9. Japan 85.99
10. Denmark 85.89
11. Uniteds States 85.51
12. Germany 84.81
13. New Zealand 84.23
14. United Kingdom 83.35
15. Korea, South 83.28
16. France 83.26
17. Ireland 83.11
18. Austria 82.70
19. Belgium 82.68
20. Singapore 80.94
21. Spain 80.88
22. Israel 79.11
23. Italy 78.96
24. Slovania 78.33
25. Czech Republic 77.90
26. Greece 76.52
27. Potugal 76.29
28. Croatia 74.88
29. Poland 74.67
30. Chile 74.12
31. Slovakia 73.59
32. Estonia 73.40
33. Hungary 72.82
34. Lithuania 71.40
35. Costa Rica 69.91
36. Latvia 69.85
37. Malaysia 69.69
38. Bulgaria 69.62
39. Romania 68.99
40. Kuwait 68.59
41. Panama 68.55
42. Peru 67.15
43. United Arab Emirates 66.89
44. Uruguay 66.87
45. Mexico 65.35
46. Argentina 64.48
47. Jamaica 64.07
48. Brazil 64.02
49. Ukraine 63.97
50. Cuba 63.96
51. Russia 63.28
52. Turkey 63.26
53. Jordan 62.95
54. Gatar 62.70
55. Dominican Republic 62.65
56. Belarus 62.58
57. Albania 62.55
58. Thailand 62.17
59. China 62.10
60. Oman 61.28
61. Kazakhstan 60.73
62. Colombia 60.52
63. Philippines 60.51
64. Saudi Arabia 59.91
65. Tunisia 58.90
66. Sri Lanka 58.80
67. Morocco 58.45
68. Paragauy 58.23
69. Azerbaijan 58.12
70. Ecuador 58.06
71. Venexuela 57.99
72. El Salvador 57.51
73. Indonesia 57.12
74. Egypt 57.11
75. Nicaragua 56.97
76. Honduras 56.46
77. Bolivia 55.86
78. India 55.70
79. Iran 55.12
80. Botswana 54.95
81. Vietnam 54.88
82. South Africa 54.52
83. Syria 54.35
84. Guatemala 54.30
85. Algiria 52.07
86. Ghana 49.98
87. Kenya 49.26
88. Bangladesh 47.40
89. Pakistan 47.07
90. Madaggascar 46.78
91. Senegal 46.15
92. Yemem 44.17
93. Tanzania 43.06
94. Ethiopia 41.61
95. Mozambigue 40.77
96. Uganda 40.67
97. Zambia 40.50
98. Cameroon 38.63
99. Nigeria 38.26
100. Burkina Faso 33.59

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

70 สิ่งที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน*


1.ยุงบินด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง...
2.ผีเสื้อบินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง...
3.เส้นผมคนรับน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม...
4.เสียงกรนที่ดังที่สุดดังถึง 87.5 เดซิเบลล์
5.พอล แมคคาร์ที เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงแฮปปี้ เบิร์ดเดย์ ถ้าจะนำมาออกรายการต้องซื้อลิขสิทธิก่อน...
6.เหรียญทองโอลิมปิกต้องมีแร่เงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซนต์...
7.หอเอนเมืองปิซาเอนไปทางใต้...
8.กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3 ครั้งในชีวิต...
9.ฮิตเลอร์แสกผมข้างซ้าย...
10.ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้าย แสดงว่ามีเจ้าของแล้ว...
11.เราไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจได้...
12.ผู้หญิง 3.9 เปอร์เซนต์ไม่ชอบใส่กางเกงใน...
13.ฮิปโปผายลมทางปาก...
14.ประเทศซาอุดิอราเบียไม่มีแม่น้ำ...
15.กังหันทั้งโลกหมุนทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นที่ไอร์แลนด์...
16.เด็กนักเรียนอายุ15 ปีขึ้นไปในบังคลาเทศจะถูกจับเข้าคุกถ้า"โกงข้อสอบ"...
17.ปลาที่อาศัยในน้ำลึกเกิน 800 เมตร จะไม่มีตา...
18.ผมคนเราจะร่วงประมาณ 200 เส้นต่อวัน...
19.ตัว"โอ"เป็นสระที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ...
20.คนพูดประมาณ 120 คำต่อนาที
21.ฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเราไม่สามารถไหม้ได้...
22.เม่นชอบช่วยตัวเอง...
23.ถ้าปลาไหลไฟฟ้าอยู่ในน้ำเค็ม จะถูกช็อตตาย...
24.ขั้นบันไดในไทยจะเป็นเลขคี่...
25.เจ้าฟ้าชายชาลส์ชอบสะสมฝาโถส้วม...
26.คนมีโอกาสตายจากผึ้งต่อยมากกว่างูกัด...
27.ประเทศวาติกันมีประชากรประมาณ 1000 คน
28.เมื่อคุณจาม หัวใจคุณจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที
29.มันเปนไปมะได้อ่ะคับ ถ้าคุณจะจามโดยไม่หลับตา
30.เดิมโคคาโคล่าเป็นสีเขียว
31.ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed
32.กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น
33.แต่ละโพหลังไพ่ แสดงถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จากประวัติศาสตร์ - โพดำกษัตริย์เดวิด - ดอกจิก อเล็กซานเดอร์มหาราช - โพหัวใจ ชาร์ล เลอ มาญ - ข้าวหลามตัด จูเลียส ซีซาร์
34. อนุสาวรีย์ของใครสักคนที่อยู่บนหลังม้า และม้ายกสองขาขึ้นบนอากาศแปลว่าคนนั้นตายในสงคราม
35.ถ้าม้ายกขาข้าเดียวแปลว่า เขาบาดเจ็บในสงคราม และตายจากการบาดเจ็บนั้น
36.ถ้าทั้งสี่ขาของม้าอยู่บนพื้น แสดงว่าตายโดยธรรมชาติ
37.ใน 4000 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสัตว์ชนิดใหม่ๆที่ถูกทำให้เชื่อง
38.เชคสเปียร์ เป็นคนคิดค้นคำว่า assassination (การลอบฆ่า) และ bump (ชน กระทบ)
39.หัวใจมนุษย์สร้างความดันเพียงพอที่จะปั๊มเลือดออกจากร่างกายไป 30 ฟุต
40. หนูสามารถสืบพันธ์ได้เร็มาก ใน 18 เดือน หนูสองตัวจะสามารถมีทายาทมากกว่าล้านตัว
41.การใส่หูฟังแค่ชั่วโมงเดียว ทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น700 เท่าตัว
42.ลิปสติกส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเกล็ดปลา
43.เหมือนกับลายนิ้วมือ....ลายลิ้นทุกคนต่างกัน
44.นิตยสาร time ได้ยกย่องให้คอมพิวเตอร์เป็นบุคคลแห่งปีในปีค.ศ.1982
45.สถิติจูบนานที่สุดในโลกเป็นของหลุยซา แอลเมโดวาร์ วัย 19 ปีกับแฟนหนุ่ม ริชแลงเลย์ วัย 22 ปีพวกเขาทำสถิติไว้ที่ 30.59.27 ชม.
46.ตอนที่ f4 ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อินโดนีเซียทำให้เด็กนักเรียนเกือบ100 คน ต้องเรียนซ้ำชั้น เพราะไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนเทอม 2
47.บริษัทผู้ผลิตยาสีฟันดาร์ลี่เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่ผลิตยาสีฟันคอลเกต
48.โดนั ลด์ ดักส์ ถูกแบนในประเทศฟินแลนด์ เพราะมันไม่ได้สวมกางเกงใน
49.ภาพยนต์เรื่อง nothing hill จ่ายค่าตัวจูเลีย โรเบิร์ต 15ล้านเหรียญ ( 660 ล้านบาท ) ในขณะที่พระเอกอย่างฮิว แกรนจ์รับค่าตัวเพียง 1 ล้านเหรียญ ( 45 ล้านบาท)
50.หนังอนิเมชันเรื่อง SouthPark ได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสส์บุ๊กว่าเป็นหนังอนิเมชั่น เรื่องยาวที่หยาบคายที่สุดในโลกสถิติบันทึกไว้ว่า มีการใช้คำหยาบ 399 คำ พฤติกรรมรุนแรง 221 ครั้ง และแสดงท่าทางหยาบคาย 128 ครั้ง
51.ขนมทอดกรอบตรา ปูไทย ระบุว่าไม่มีส่วนผสมของเนื้อปู
52.ในน้ำทะเล 100 ตัน จะมีทองคำอยู่ประมาณ 4 กรัม
53.จำนวนแถวของข้าวโพดในแต่ละฝักจะเป็นเลขคู่
54.จิงโจ้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่เดินถอยหลังไม่ได้
57.ยุงชอบเลือดเด็กมากกว่าเลือดผู้ใหญ่
58.แมงมุมทอดรสชาติเหมือนถั่ว
59.ฟันของแมลงสาบอยู่ในท้อง
60.เม่นทุกตัวลอยน้ำได้
61.หมู มีโอกาสเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
62.นอกจากมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกและจิงโจ้ต่างก็จูบเป็น ส่วนลิงชิมแปนซีนั้นจูบแบบ "เฟรนช์คิส" ได้ด้วย
63.คนถนัดขวามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนถนัดซ้ายถึง 9 ปี
64.Hippopotomonstrsesquippedaliophobia คือ ชื่ออาการของคนที่หวาดกลัวคำอ่านยาวๆ
65.ผู้ที่เกิดเดือนมกราคม - มีนาคม มีแนวโน้มเป็นโรคจิตและโรคคลั่งมากกว่าเดือนอื่นๆ
66.แก้วไม่ได้เป็นของเเข็ง เเต่เปนของเหลว
67.สมองคนเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักของร่างกาย แต่ใช้เลือดไปเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมด
68.เลือดของกุ้งมังกรเปนสีน้ำเงิน
69.อูฐสามารถหมุนหัว 180 องศา
70.รู้หรือเปล่าว่าเว็บgoogleไม่ได้มีประโยชน์แค่หาข้อมูล แต่เป็นเครื่องคิดเลขได้ (ลองใส่ 5+2 หรือเลขอะไรก้อได้ในช่อง แล้วกด Search ดูสิ)

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

9 อุปนิสัย ที่ทำลายสมองคุณ !!!!!!!!!!!!




@@ 9 นิสัยทำลายสมอง @@
ไม่ อยากให้ สมองเสื่อมเร็ว ก็ต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทั้ง 9
ที่จะบอกต่อไป นี้ให้ไกล หรือทำให้น้อยที่สุด
เพื่อสมองอันปราดเปรื่องจะได้อยู่กับเรา ไปนานๆไง


***1 ไม่ทานมื้อเช้า
ใครที่ไม่รับประทาน มื้อเช้า ระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำ ซึ่งเป็นการเหตุให้ไม่มีอาหารไปเลี้ยงสมองอย่างพอเพียง
จะทำให้สมอง เสื่อมลงเลื่อยๆ

***2 กินมากเกินไป
การกินมาก เกินไปก็ไม่ดีอีกนั่นแหละ
เพราะจะทำให้เส้นเลือดแดงทำงานหนัก
นอก จากนั้นจะมีผลกระทบในด้านจิตใจอีกต่างหาก

***3 สูบบุหรี่
ควัน บุหรี่จะทำให้เซลล์สมองหดตัวและอาจนำไปสู่ อัลไซเมอร์ ได้

***4 กินน้ำตาลมากเกินไป
เมื่อ กี๊ว่าเพราะขาดน้ำตาล แต่ถ้ากินมากจนเกินไปก็ไม่ดีอีกนั่นแหละ เพราะว่าน้ำตาลมากจะไปขวางการดูดซึมของโปรตีน และการอาหารต่างๆซึ่งจะทำให้เกิด อาการขาดสารอาหาร และขัดขวางการเจริญเติบโตของสอมง

***5 มลภาวะของอากาศ
ด้วย สมองที่ต้องการออกซิเจนมากที่สุดของร่างกาย
ดังนั้นการสูดเอาอากาศที่ ไม่บริสุทธิ์เข้าไป
ก็เท่ากับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปให้สมองนั่นแหละ

***6 นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ
การพักผ่อนที่ดีที่สุดของสมองก็คือ การนอนหลับ การอดนอนบ่อยๆ หรือนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ จะเป็นการลดอายุของเซลล์สมองให้สั้นลง

***7 นอนคลุมโปง
ถึง จะนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว แต่หากว่า
เอา ผ้าห่มคลุมโปงอย่างนั้นคงไม่ดีแน่ เพราะอย่างที่เราเรียนมาว่า เราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปและหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ถ้าเรานอนคลุมโปงก็เหมือนกับการกักคาร์บอนไดออกไซด์เอาไว้หายใจ ทำให้สมองขาดออกซิเจนนั่นเอง

***8 เวลาป่วยก็ยังไม่หยุดทำงาน
ใน เวลาที่ร่างกายเจ็บป่วย สมองก็ต้องการที่จะพักผ่อนด้วยเหมือนกันนะ ดังนั้นเลิกเอางานไปนอนทำบนเตียงเถอะ

***9 การพูด
การ พูดจาอย่างมีสติ สมเหตุสมผล จะเป็นการพัฒนาสมองเอาไว้อย่างหนึ่ง

How to Ent’ : ทำอย่างไรให้Ent’ติด

How to Ent’ : ทำอย่างไรให้Ent’ติด

หาก ถามว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตมัธยมปลายคืออะไร หลาย ๆคนคงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า การสอบเข้า มหาวิทยาลัย เพราะมันคือก้าวที่สำคัญก้าวหนึ่งในชีวิต หากเราสามารถเข้าสถาบันที่มีชื่อเสียง อนาคตก็มีโอกาสที่ดีในการทำงาน การสอบนี้เป็นการสอบแข่งขันจากนักเรียนทั่วประเทศ เพื่อแย่งชิงเก้าอี้ในมหาวิทยาลัย แล้วเราจะทำอย่างไรให้เอาชนะคนเป็นแสนเพื่อให้เรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังได้ ลองมาดูกัน

การ ที่เราจะสอบติดได้นั้น เราต้องรู้เสียก่อนว่าเราชอบอะไร อยากเป็นอะไร การค้นหาตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เพราะว่า การไม่รู้จักตัวเองทำให้เราไม่มีเป้าหมาย เปรียบเสมือนเรือที่ไม่มีต้นหนคอยบังคับทิศทาง ถ้าเราไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร และหากเราเลือกเรียนที่เราไม่ชอบ ก็อาจจะต้องไปสอบใหม่ ซึ่งเสียทั้งเวลาและความรู้สึก วิธีการที่เราจะค้นหาตัวเองนั้นมีมากมาย เช่น การเข้าร่วมทำกิจกรรมเยอะ ๆ เพราะการทำกิจกรรม ทำให้เราได้รู้จักการเข้าสังคมใหม่ ๆ การพบเจอผู้คนที่หลากหลาย ทำให้ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์ อีกทั้งสมัยนี้ อินเทอร์เน็ต ทำให้โลกของเราแคบลง การจะหาข้อมูลต่าง ๆก็สามารถทำได้รวดเร็วขึ้น จึงไม่เป็นการยากเลยที่เราจะศึกษาหาข้อมูล อีกวิธีหนึ่งก็คือ การเข้าไปที่มหาวิทยาลัยเลย สถาบันส่วนใหญ่จะมีวันเปิดบ้าน ซึ่งเป็นการแนะแนวการศึกษาต่อจากรุ่นพี่ ที่คอยให้คำปรึกษา ไขข้อสงสัยให้กับน้อง ๆถ้ารู้ว่าเราชอบอะไร และได้เรียนในสิ่งที่ชอบต่อให้เนื้อหาที่เรียนยากอย่างไร เราก็ยังมีความสุข และชีวิต4ปีในรั้วมหาวิทยาลัยของเราก็คงไม่ เสียเวลาเปล่าอย่างแน่นอน

เมื่อเรารู้จักตัวเองแล้วก็ต้องตั้งเป้าหมายว่าอยากจะเข้าคณะไหน มหาวิทยาลัยใด แล้วจึงมุ่งมั่นเข้าหาเป้าหมายที่เราตั้งไว้ด้วยใจที่มุ่งมั่น ไม่ไขว้เขว การที่เรามีความฝันเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้เรายิ่งมีความพยายามในการ อ่านหนังสือ ไม่ย่อท้อ มีหลายคนที่มีเป้าหมายแต่กลับไม่ยอมทำให้สำเร็จ เพราะกลัวบ้าง ไม่มั่นใจบ้าง กลัวสู้คนอื่นไม่ได้บ้าง ให้เลิกคิดไปได้เลยว่าเราทำไม่ได้ ไม่มีอะไรยากเกินความพยายาม เพราะฉะนั้นเราต้องความฝันของเราให้เป็นจริงให้ได้ !

กำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญในการสอบไม่แพ้กัน คนเราจะมีแรงขึ้นมาเมื่อได้รับกำลังใจจากนที่เรารัก หากเปรียบการสอบเป็นสงคราม ฝ่ายที่ได้รับกำลังใจมากกว่าก็จะทำให้เกิดใจสู้ พยายามที่จะฟาดฟันและสังหารคู่ต่อสู้ให้ดับดิ้น เราสามารถหากำลังใจได้จากที่ไหนบ้าง ? กำลังใจนั้นหาได้รอบตัว อันดับแรกเลยก็คือกำลังใจจากพ่อแม่ เพราะกำลังใจจากพ่อแม่นั้นเป็นกำลังใจที่ดีที่สุด คงไม่มีใครจะรักและห่วงใยเราเท่าพ่อแม่อีกแล้ว ยามใดที่เราอ่อนล้า และหมดกำลังใจ ก็จะมีท่านทั้งสองคอยเดิมพลังใจให้เรา พร้อมที่จะสานฝันต่อไป กำลังใจจากเพื่อนก็เป็นมีส่วนสำคัญอีกเช่นกัน เพราะวัยรุ่นเพื่อนจะมีอิทธิพลกับเรามากที่สุด หากเราเครียดก็คุยกะปรึกษากับเพื่อนได้ เพราะอย่างน้อยเพื่อนก็สอบเหมือนกับเรา มีอะไรก็คุยกันรู้เรื่อง และจะได้ช่วยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน อีกกำลังใจที่สำคัญก็คือการสร้างแรงบันดาลใจ บางคนที่เป็นลูกคนโตก็อยากจะสร้างความภาคภูมิใจให้กับวงศ์ตระกูล จึงเอาความคิดนี้มาเป็นแรงบันดาลใจ การจินตนาการว่าเราได้ใส่เครื่องแบบในสถาบันที่อยากเรียนก็ช่วยให้มีกำลังใจ มากขึ้นได้เหมือนกัน เราต้องหาแรงบันดาลใจให้เจอ และจงใช้มันเพื่อเป็นเชื้อเพลิงที่จะทำให้เราขับเคลื่อนเข้าหาความฝันที่รอ อยู่ในอนาคต

สิ่ง สำคัญอีกประการหนึ่งต้องรู้จักเทคนิคการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือเป็นปัจจัยหลักในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราจะเห็นได้ว่าหลายคนดูเหมือนว่าจะอ่านหนังสือมาเยอะ แต่เวลาสอบจริง ๆกลับสอบได้คะแนนน้อย เพราะอ่านเอาแต่ปริมาณ แต่ไม่ได้คุณภาพ อันดับแรกเลยคือเราต้องทำตารางอ่านหนังสือ ว่าจะอ่านอะไร วันไหน วิชาอะไรบ้าง เพราะตารางอ่านหนังสือนี้จะช่วยให้เรามีหลักในการอ่าน ที่สำคัญคือเราต้องมีความรับผิดชอบ วางแผนแล้วต้องทำให้ได้ ไม่ใช่คิดแล้วไม่ทำ สิ่งที่เราคิดเอาไว้ก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย การจับกลุ่มติวกับเพื่อนก็เป็นเรื่องดี การอ่านหนังสือคนเดียวเวลาที่ไม่เข้าใจตรงไหนก็ไม่มีใครอธิบายได้ แต่ถ้าเราติวกับเพื่อนเพื่อนก็จะได้ช่วยเราอธิบาย คลายความข้องใจ การติวนั้นทำให้เราต้องเตรียมพร้อมก่อนที่จะมาติวให้เพื่อน เราจึงได้อ่านหนังสือมาก่อนแล้วรอบนึง ก่อนจะไปอธิบายให้เพื่อนฟัง การอ่านหนังสืออย่างเดียวคงไม่สามารถทำให้เราสอบติดได้ เมื่ออ่านแล้วต้องรู้จักหาแนวข้อสอบเก่า ๆมาฝึกทำ การฝึกทำข้อสอบทำให้เรามีทักษะ รู้จักแก้ปัญหา และได้ใช้ความรู้ทั้งหมดที่มีลงไปในข้อสอบ การฝึกทำมาก ๆ จะทำให้เรารู้จัก จุดอ่อน-จุดแข็ง วิชาไหนอ่อนก็อ่านเพิ่ม หรือให้เพื่อนช่วยติวให้ ยิ่งเราฝึกมากเรายิ่งชำนาญ เมื่อเจอข้อสอบจริง ๆก็จะคุ้นเคยและทำได้อย่างสบาย ๆ

จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดทำให้เรารู้ได้ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัย นั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ไม่ว่าใคร ๆก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ ขอแค่เพียงมีความฝัน และไม่ย่อท้อ ต่อให้ฝันจะสูงแค่ไหน เราก็สามารถเอื้อมไปคว้ามันมาได้อย่างแน่นอน

30 เรื่องจริงที่เด็กไทยต้องไปเรียนต่างประเทศ*

1มักจะมีคำถามเสมอว่า ทำไมไม่เรียนเมืองไทย เด็กไทยที่เรียนนอกก็จะอ้างเหตุผลนั้นนี่ไปเรื่อย แต่หลายๆคนคิดว่า "เบื่อ" แต่น้อยคนที่จะกล้าพูด ฮ่าๆๆๆ
2. มักจะรับวัฒนธรรมของ ประเทศที่ตัวเองไปอยู่โดยบางคนไม่รู้ตัว
3. และเมื่อกลับมาไทยจะ โดนคนอื่นมองว่าก้าวร้าวบ้าง แต่ก็ไม่หวั่นเพราะคิดว่าไม่ผิด
4. หลายคนที่ไปอยู่หลายปี มักจะมีมุมมองที่ต่างจากเด็กไทยที่เรียนเมืองไทย
5. เช่น การเถียงครูเป็นเรื่องไม่ผิด (ตามประเทศทางตะวันตก และ อเมริกา) เพราะทางประเทศพวกนั้นเขาสอนให้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ แต่ อ่า อ๊าา เดี๋ยวก่อน ต้องเถียงอย่างมีเหตุผลและใช้ภาษาอย่างสุภาพนะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าลุกขึ้นมาด่า ช็อตๆๆ
6. สำหรับเด็กไทยที่ไปโต ประเทศนั้นมาตั้งแต่เด็กจริงๆ จะพูด,อ่าน,เขียน ภาษาไทยไม่ชัด แต่ภาษาฟังน่าจะโอเค (อันนี้แล้วแต่ว่าที่บ้านเลี้ยงมายังไงด้วยนะครับ)
7จะชอบเปรียบเทียบ ระหว่างเมืองไทย เมืองนอกเสมอ
8. พวกที่ไปตอนโตแล้วซักนิดนึงก่อนไปอาจจะมีปัญหาเรื่องนั่น เรื่องนี่ แต่พออยู่ไปนานๆแล้วก็เพลินกับชีวิตซะสุดๆ
9เราจะพูด อ่าน เขียน ฟัง ภาษาของประเทศที่ไปอยู่ได้อย่างรวดเร็วมาก
10แต่ทั้งนี้ก็มีกรณียกเว้น เด็กบางคนที่ไม่ชอบเข้าสังคม ภาษาก็อาจจะช้านิดนึง แต่ยังไงก็ต้องได้ศัพท์ในการเอาตัวรอด
11แม้รู้ว่าการอยู่เมือง นอกไม่ควรจับกลุ่มอยู่แต่กับคนไทยเท่านั้น แต่พอมีเพื่อนเป็นคนไทยก็อดไม่ได้ที่จะอยู่ด้วยกันและคุยภาษาไทยกันต่อ ฮ่าๆ
12เมื่อแรกอยู่ อาจจะไม่ค่อยเคยชินกับวัฒนธรรมนั้นๆตอนแรกเจอ แต่เมื่ออยู่ไปซักพักกลับมามองตัวเอง อ้าวเราติดนิสัยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เหอะๆ !
13ก็มีคนไทยส่วนหนึ่งดัด จริต แกล้งดัดจริต ทำไมออกสำเนียงไม่ชัดบ้าง กลับไทยมาทำท่าไม่ชินบ้าง (ในขณะที่บางคนอยู่ไทยมากว่า 20 ปี อยู่นอกแค่เทอมเดียว) กลับมากลายเป็นไม่ชินซะแล้ว โอ้ ช่างสุดยอดจริงๆ
ปล. ข้อนี้ไม่แนะนำให้เอาตัวอย่างนะครับ
14แต่ในขณะที่คนไทยที่อยู่ เมืองนอกนานแล้วซักพักจะทำตัวปกติในรูปแบบที่เป็นตัวเอง น้อยคนที่จะดัดจริต (เพราะชิน)
15ไม่ว่าคนไทยไปอยู่ ประเทศอะไร พูดภาษาอะไร แต่สำเนียงก็ไทยอยู่ (80 % ) ยกเว้นคนที่มีความทางสามารถทางภาษา หรือ ลิ้นอ่อน หรือ อยู่ตั้งแต่เด็กๆเลยจริงๆ
16. จากข้อข้างต้นที่กล่าว มาทำให้เวลาพูดคนไทยจะเดาได้ว่าคนนี้เป็นคนชาติเดียวกัน
17คนไทยหลายคนเวลาไม่พอใจ กับต่างชาติแต่ไม่อยากมีเรื่อง มักจะใช้ภาษาไทยนินทาต่อหน้า (ฮ่าๆๆๆ) เพราะรู้ว่ายังไงเขาก็ฟังไม่ออกอยู่แล้วนี่
18แต่ เดี๋ยวก่อน ก็ต้องระวังด้วยนะครับ เพราะเมืองนอกก็มีคนเรียนภาษาไทย หรือ มีคนไทยที่เราดูไม่ออกว่าเป็นคนไทย มันเคยมีกรณีเกิดขึ้นมาแล้วนะ พูดภาษาไทยออกไปแล้วเขาฟังออก (หลังจากนั้นคิดเอาเอง.....)
19. เด็กไทยเรียนนอกชอบบ่น เรื่องอากาศ พอหนาว(ก็หนาวเกิน) พอร้อน ก็บ่นอีก(ทั้งๆบางทีลืมไปแล้วเหรอครับ ว่าไทยร้อนกว่า) ฮ่าๆๆๆ
20วิชาคณิตศาสตร์สามารถ เชิดหน้าชูตาเด็กไทยได้เป็นอย่างมาก บางคนเรียนคณิตศาสตร์ในไทยได้เกรด 2.5 ไปเรียนเมืองนอกกลาย เป็น Whiz kid ซะอย่างนั้น
21เวลาเจอคนไทยที่นั่นจะ รู้สึกอ๋อ นี่คนบ้านเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ทักกันหรอก แต่ก็มีบ้างที่ทัก
22สำหรับคนเรียนนานาชาติ ที่เมืองนอกจะรู้สึกสนุกสนานที่ได้เจอเพื่อนต่างชาติต่างวัฒนธรรม แต่บางวัฒนธรรมเราจะรับไม่ได้
23ชอบสอนการทักทายพร้อมการไหว้ให้เพื่อนต่างชาติได้ดู และเขาก็ทำตามก็รู้สึกภูมิใจ
24ในกรณี home sick เคยเกิดขึ้นแล้วกับเด็กไทยทุกคน บางคนมาก บางคนน้อย
25พอได้ยินเพลงไทยเปิดตาม ถนน หรือในห้าง เราก็จะรู้สึกโอ้ ภูมิใจ
26. หากเด็กไทยกลุ่มไหนอยู่กับชาติที่ตรงต่อเวลา ก็จะติดนิสัยตรงต่อเวลา และเมื่อกลับมาไทยก็จะรู้สึกไม่ชอบเวลาเจอคนไม่ตรงต่อเวลา (เป็นข้อดี)
27. เด็กไทยหลายคนช่วย เหลือตัวเองได้จากการไปอยู่เมืองนอก
28. เด็กไทยที่ไปอยู่เมืองนอกถูกปลูกฝังความกล้าคิด กล้าแสดงออก โดยมิต้องเกรงกลัวใครหากไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
29. เด็กไทยที่ไปอยู่เมือง นอกจำนวนมากกล้าที่จะแสดงความคิดตอบโต้กับผู้ใหญ่ ซึ่งมิได้เป็นการก้าวร้าวในทัศนคติของเขา (ซึ่งผู้ใหญ่ควรเปิดมุมกว้างพอที่จะรับมุมของเด็กกลุ่มนี้ได้)
30. เด็กไทยที่ยังพูด เขียน ภาษาไทยได้ดี นับเป็นความสามารถพิเศษในเมืองนอกกันเลยดีเดียว รวมถึงเพื่อนต่างชาติจะรู้สึก Oh! It's amazing! เพราะภาษาเรามีความงดงามอยู่ไม่น้อย

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความหมายคำว่า .. "แม่"

ในสังคมต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญกับ "ความเป็นแม่" และคำเรียกผู้ที่ให้กำเนิดสมาชิกใหม่ของแต่ละสังคมส่วนใหญ่จะเป็นคำแรกที่เด็กสามารถเปล่งเสียงได้ก่อน "แม่" ดังนั้นความหมายของคำว่า "แม่" ทุกภาษาและวัฒนธรรมจะมีคุณค่าอย่างมาก และหากสังเกตจะพบว่า "แม่" เป็นเสียงที่เด็กสามารถเปล่งได้อย่างง่าย และเป็นคำแรกที่สามารถออกเสียงนั้นได้อย่างมีความหมาย

นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น

ภาษาไทย เรียก แม่
ภาษาจีน เรียก ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษาฝรั่งเศส เรียก la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ เรียก mom , mam
ภาษาโซ่ เรียก ม๋เปะ
ภาษามุสลิม เรียก มะ
ภาษาไท เรียก ใต้คง เม เป็นต้น

"แม่" เป็นคำโดดหรือคำไทยที่บ่งบอกความสัมพันธ์อันอบอุ่นลึกซึ้งระหว่างผู้หญิงกับลูก แม่ หมายถึง ผู้มีพระคุณ ผู้ให้กำเนิด ให้น้ำนมลูกดื่มกิน ให้ความรักความเมตตาและปกป้องดูแลลูกจนเติบใหญ่ คำว่า "แม่" มักถูกนำไปใช้ร่วมกับคำอื่น ๆ โดยมีความหมายแตกต่างกันออกไป พอจะแบ่งแยกออกได้เป็นประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. แม่ ในฐานะเป็นคำที่ใช้แบ่งแยกเพศและบ่งบอกบทบาท ฐานะ สถานภาพและอากัปกิริยาของผู้หญิง เช่น แม่… (น.) : คำเรียกหญิงทั่วไป เช่น แม่นั่น แม่นี่ ; แม่ค้า (น.) : ผู้หญิงที่ดำเนินการค้าขาย ; แม่ครัว (น.) : หญิงผู้ดูแลครัว หุงหาอาหาร ; แม่คู่ (น.) : นักสวดผู้ขึ้นต้นบท ; แม่นม (น.) : หญิงผู้ให้นมเด็กกินแทนแม่ ; แม่บ้านแม่เรือน (น.) : หญิงดูแลบ้านเรือน ; แม่แปรก (น.) : หญิงผู้จัดจ้านหรือเป็นหัวหน้ากลุ่ม ; แม่มด (น.) : หญิงหมอผี หญิงคนทรง หญิงเข้าผี ; แม่ยาย (น.) : คำเรียกแม่ของเมีย ; แม่ม่าย (น.) : หญิงที่มีผัวแล้วแต่ผัวตายหรือเลิกร้างกันไป ; แม่ยั่วเมือง (น.) : คำเรียกพระสนมเอกแต่โบราณ ; แม่ย้าว (น.) : หญิงผู้เป็นแม่เรือน ; แม่รีแม่แรด (ว.) : ทำเจ้าหน้าเจ้าตา ; แม่แรง (น.) : หญิงผู้เป็นกำลังสำคัญในการงาน, เครื่องดีดงัดหรือยกของหนัก ; แม่เลี้ยง (น.) : เมียของพ่อที่ไม่ใช่แม่ตัว, หญิงที่เลี้ยงลูกบุญธรรม ; แม่เล้า (น.) : หญิงผู้กำกับควบคุมดูแลซ่องโสเภณี ; แม่สื่อแม่ชัก (น.) : ผู้พูดชักนำให้หญิงกับชายรักกัน ; แม่อยู่หัว (น.) : คำเรียกพระมเหสี เป็นต้น

2. แม่ เป็นคำที่ใช้บ่งบอกฐานะของผู้ปกป้องคุ้มครอง เช่น แม่ย่านาง (น.) : ผีผู้หญิงผู้รักษาเรือ นางไม้ ; แม่ซื้อ, แม่วี (น.) : เทวดาหรือผีที่คอยดูแลทารก เป็นต้น

3. คำว่า แม่ ยังถูกนำมาใช้เรียกผู้เป็นหัวหน้าหรือเป็นนาย บ่งบอกฐานะของผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลและควบคุม เช่น แม่กอง แม่ทัพ เป็นต้น






อย่างไรก็ตาม ความหมายหลักของคำว่า แม่ ก็คงหนีไม่พ้นการเป็นผู้ให้ชีวิตหรือหญิงผู้ให้กำเนิดบุตร หญิงผู้ปกป้องคุ้มครองและดูแลรักษา สังคมไทยยังใช้คำว่าแม่ตามความหมายนี้เรียกสิ่งดีงามตามธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อยกย่องเทอดทูนในฐานะผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงชีวิต เช่น แม่น้ำ แม่โพสพ แม่ธรณี เป็นต้น ความหมายของคำว่าแม่ในลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นชัดอย่างชัดเจนว่าสังคมไทยแต่โบราณมายกย่องและให้เกียรติสตรีเพศผู้เป็นแม่ ตระหนักในบทบาทหน้าที่และบุญคุณของแม่ต่อชีวิตของลูก ๆ ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย

ในบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย แม่ คือ ผู้เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อลูก ๆ คอยดูแลเอาใจใส่และประคบประหงมลูกจนเติบใหญ่ ความรักของแม่ถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ สังคมไทยมักพูดถึงแม่ในฐานะของผู้ที่รักลูกยิ่งชีวิต พร้อมจะตกระกำลำบากเพื่อลูกของตนโดยไม่สำนึกเสียใจ นางจันทร์เทวีถูกขับออกจากเมือง ต้องระเหเร่ร่อนไร้ที่ซุกหัวนอนเพราะคลอดลูกเป็นหอยสังข์ แต่นางก็ยังรักและเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงโดยไม่เคยคิดรังเกียจเดียดฉันท์แม้แต่สัตว์อย่างนางนิลากาสร ก็ยังรักและหวงแหนลูกอย่างทรพี ปกป้องลูกของตนมิให้ถูกฆ่าดังเช่นลูกของตัวอื่น ๆ

แม้ว้าโดยทั่วไปแล้ว คำว่า "แม่" จะบ่งบอกความหมายของการเสียสละ ความรักและความผูกพันที่ผู้หญิงที่มีต่อลูกของตน แต่การที่สังคมไทยมีลักษณะวัฒนธรรมเฉพาะที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละชนชั้น ทำให้ความหมายของการเป็นแม่ ตลอดจนบรรทัดฐาน แบบแผน พฤติกรรมและบทบาทฐานะของผู้หญิงในวัฒนธรรมของแต่ละชนชั้นย่อมแตกต่างกันไป

บทความดีดี "จาก..ค่าน้ำนม"

ถ้าให้จัดเรียงความสำคัญของ ’ผู้หญิง’
ในชีวิตเรามาสามอันดับแรก น่าเป็นดังนี้

อันดับที่หนึ่ง คือ “แม่”

อันดับที่สอง คือ “แม่”

อันดับที่สาม คือ “แม่”

ใช่ครับ ผมกำลังจะพูดถึง “แม่”
สิ่งที่เราทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ว่าอาจมีบ้างบางครั้งที่เราหลงลืมไป
จนขาดความใส่ใจกับบุคคลใกล้ตัวท่านนี้

จำได้มั๊ยครับ ครั้งสุดท้ายที่คุณกอดแม่น่ะเมื่อไหร่?
อย่าบอกนะว่าคุณอายุมากเกินไปแล้ว...เป็นไปไม่ได้
ไม่มีใครแก่เกินกว่าจะกอดแม่หรอก

ผมอยากอวดแม่ของผมครับ

แม่ผมเป็นคนบ้านนอก เชยๆ ผมชอบนั่งแอบมองแม่เวลาแกเผลอ
หล่อนอยากทำอะไร ผมก็ปล่อยให้แกทำ

ล่าสุดนี่เธอเหยาะน้ำยาปรับผ้านุ่มลงไปในน้ำสุดท้ายของการอาบน้ำให้หมาด้วย

ด้วยเหตุผลของคนซื่อ คือเธอบอกว่า ทำตั้งหลายครั้งแล้ว
ก็ไม่เห็นหมามันบ่นอะไร

แม่ผมเรียนมาน้อย
เรียกว่าไม่ได้เรียนเลยก็เกือบจะว่าได้ เธอศึกษาทุกอย่างด้วยการจำ
เห็นเขาพูดเขาทำอะไรในโฆษณาก็พยายามเอามาใช้กับลูกชาย
ครั้งนึงผมน้ำเข้าหู เธออวดภูมิด้วยการบอกให้ผมใช้ไม้สำลีเช็ดหูของ
จอห์นสันไมโครบัส


ผู้หญิงคนเดียวกันนี้เองที่ลากครกกับสากกะเบือออกไปตำน้ำพริกมะม่วงนอกบ้าน

เพราะเห็นลูกชายกำลังนอนหลับอยู่ในบ้าน
ไม่ใช้ตำแค่นอกบ้านนะ แต่เธอออกไปตำนอกรั้วบ้านเลยทีเดียว

ผมกับแม่ ทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ด้วยกันที่ต่างจังหวัด
ทุกครั้งที่ผมขับรถเข้ามาคุยงานในกรุงเทพฯ
เธอยังคงทำกับข้าวใส่กล่องมาให้ผมกินอยู่เสมอ
และเธอไม่เคยลืมที่จะเด็ดดอกจำปีหน้าบ้าน
มาใส่ในกล่องข้าวด้วยทุกครั้ง

ผมตื้นตัน แต่! แม่ครับ
ผมอยากจะบอกแม่ว่า...ดอกจำปีมันไม่อร่อยเลยครับ


เมื่อไม่นานมานี้ครอบครัวของเราได้มีวาสนาไปออกรายการโทรทัศน์
รายการ “ เจาะใจ ”

ผมบอกแม่ว่า “นี่เธอ ชั้นจะพาเธอไปออกโทรทัศน์นะ
ดีใจมั๊ย”

แม่อิดออด แบ่งรับแบ่งสู้ “ไม่เอาดีกว่ามั๊งลูก
เดี๋ยวเขาถามอะไรแล้วแม่ตอบไม่ได้”

“แม่ครับ รายการเขาไม่ได้มีสิบหกคำถาม สามตัวช่วย
ถามใครก็ได้ ตอบได้สองครั้ง หรือว่าเปลี่ยนคำถาม ถึงแม่จะตอบผิด
เกมส์เขาก็ไม่ได้จบลงทันทีซะเมื่อไหร่ นะแม่นะ ไปด้วยกันเถอะนะ”

“ไม่เอาหรอก แม่ไม่ไปดีกว่า”

“เอาน่าแม่ ไปด้วยกันเถอะ”

“ไว้ถึงวันนัดก่อนแล้วกัน แม่จะให้คำตอบ”

แล้วคำตอบของแม่ก็คือ การตื่นไปทำผมตั้งแต่มืด
ร้อยวันพันปีเธอเคยเข้าร้านเสริมสวยกับเขาซะที่ไหน

แต่ผมก็รู้ดีว่าเธอไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง...เธอทำเพื่อชายไทยทั้งประเทศต่างหาก!!!!!!!!!!

เรื่องราวแม่มีมากมายไม่รู้จบ
เป็นนิทานให้เรานั่งมองได้ไม่รู้เบื่อ ถ้าเราจะหาเวลาว่างๆ
นั่งลอบมองดูเธอคนนั้นบ้างเท่านั้นเอง

ผมเชื่อว่า แม่ของพวกเราทุกคนมีมุมน่ารัก
ให้เราได้อมยิ้มอยู่เสมอ

เป็นเรื่องน่าแปลก
ที่เรามักจะรู้กันอยู่ในใจว่าเรารักผู้หญิงคนนี้

แต่ทว่าเรากลับนั่งกินข้าวกับเธอน้อยกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ
ซะอีก

เราถูกสอนมาให้รักแม่

แต่เรากลับซื้อของขวัญให้คนอื่นบ่อยกว่าซื้อให้แม่ของเราซะอีก

เดี๋ยวนี้ผมอายุมากขึ้น แม่ก็อายุมากกว่าเราอีกเท่าตัว

ผมยังคงนั่งแอบมองแม่อยู่ แม่ผมแก่ลงไปมาก

หล่อนจะมีเวลามาโพสต์ท่าให้เรานั่งแอบมองได้อีกสักกี่ปี

บนโลกกลมๆใบนี้
ผมมัวแต่วิ่งวนเร็วจี๋จนแทบจะชนหลังตัวเองอยู่ร่อมร่อ

ตลอดเวลาเราไขว่คว้าหาอะไรอยู่ก็ไม่รู้จนเกือบลืมผู้หญิงคนนี้

กว่าจะนึกขึ้นมาได้ เวลาก็ผ่านไปมากมาย

ถ้าบทความนี้ สะกิดให้ใครนึกถึงแม่ขึ้นมาได้มั่งล่ะก้อ
ขอร้องล่ะ อย่าทำได้แค่นั่งมองแม่
เพราะเกรงว่าเพียงแค่นั้นจะไม่ทันการณ์
เวลาไม่ได้มีเหลือเฟือ...เวลาไม่ได้มีอยู่จริง
สิ่งที่เรามี มันเป็นแค่นาฬิกา มันเป็นแค่ปฏิทิน
เวลาที่แท้จริงมันเป็นของวัฏจักรเขา

เพราะฉะนั้น เรามาเตรียมคำตอบกันเอาไว้ดีกว่า
เผื่อมีใครถามเราว่า ครั้งสุดท้ายที่กอดแม่น่ะ มันเมื่อไหร่
เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเอียงคอนึกกันอีกว่า
ครั้งสุดท้ายที่

คุณกอดแม่น่ะเมื่อไหร่?

เทคนิคจำศัพท์ภาษาอังกฤษ

จัดศัพท์เป็นหมวดหมู่ เช่น คำที่มีความสัมพันธ์กัน หรือมีความหมายตรงข้ามกัน จะช่วยให้จำศัพท์ได้ง่ายขึ้น อาจจดบันทึกใส่สมุดที่พกพาได้ เพื่อความสะดวกเมื่อต้องหยิบมาท่องในเวลาว่าง

นำศัพท์มาใช้บ่อย ๆ ทำให้เกิดความเคยชิน จะจำได้แม่นยำขึ้น จากนั้นลองแต่งประโยคจากคำเหล่านั้น เพื่อฝึกการเรียบเรียงประโยค

จำศัพท์จากการออกเสียง อาทิ คำที่ออกเสียงคล้าย ๆ กัน นอกจากจะช่วยให้นึกถึงความหมายได้ง่ายแล้ว ยังได้รู้หลักการออกเสียงที่ถูกต้อง

ท่องศัพท์ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 10 คำ และหมั่นทบทวนบ่อย ๆ ให้คุ้นเคย หากมีโอกาสสนทนากับคนพูดภาษาอังกฤษ ควรลองนำศัพท์ไปใช้ในสถานการณ์จริง

ฝึกฟัง-อ่านภาษาอังกฤษจากข่าวหรือหนังสือต่าง ๆ แล้วสังเกตหาศัพท์ที่เคยท่อง จะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวโดยรวมของเรื่องที่อ่านได้เร็วขึ้น

หลักการจำที่สำคัญอีกประการ คงต้องอยู่ที่ความขยันและความสม่ำเสมอในการท่อง เพื่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ที่ได้ผล.

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ชาเขียวมูสชอกโกแลตเพรฟ

นำชาเขียวที่ทุกคนชื่นชอบ มาปรุงแต่งในแบบร่วมสมัยตามไสตล์ของร้าน จนได้มูสชาเขียวที่ยังคงไว้ซึ่งรสชาติที่กลมกล่อมมีกลิ่นอ่อนๆ ที่เป็นเสน่ห์ของชาเขียว และเพิ่มความอร่อยในเฉพาะตามแบบของร้าน ด้วยชอกโกแลตสดที่ละลายเกือบจะทันทีเมื่ออยู่ในปากและเนื้อเค้กอัลมอนด์บิสกิตชอกโกแลต ทำให้เกิดความลงตัวของชาเขียวและชอกโกแลตที่หาลิ้มลองที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ

ส้มโยเกิร์ตมูสมะม่วง


เค้กพิเศษอีกชิ้นที่ร้านทำขึ้นเพื่อเอาใจผู้ที่ชื่นชอบการทานเค้กแต่กลัวอ้วน ด้วยเค้กสีส้มสดใสแต่งหน้าด้วยกลีบส้มโดดเด่น โยเกิร์ตที่ปรุงแต่งจนกลายเป็นมูสโยเกิร์ตผสมส้มสกัดเข้มข้น ทำให้มีรสชาติเปรี้ยวตามแบบฉบับของโยเกิร์ตและหวานหอมของส้ม เท่านั้นยังไม่พอ เพิ่มความอร่อยด้วยไส้เจลลี่มะม่วง เหมาะสำหรับผู้ที่ดูแลสุขภาพแถมยังมีประโยชน์ ที่สำคัญ ไม่ต้องกลัวอ้วน

สตรอเบอรี่ชอทเค้ก

เค้กที่ได้รับความนิยมแบบสุดๆ ในญี่ปุ่น ที่เกิดจาก สปองเค้กเนื้อนุ่ม สลับชั้นกันกับครีมสดสีขาวบริสุทธิ์ที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อสตรอเบอรี่หวานซ่อนเปรี้ยวสีแดงสดใส ‘สตรอเบอรี่ชอทเค้ก’ จึงน่ารักสดใสชวนมอง และหากได้ลองทาน คุณจะสัมผัสได้ถึงความละมุนนุ่มลิ้นบวกกับรสชาติที่ทำให้คุณรู้สึกสดชื่น แล้วคุณจะหลงใหลไม่น้อยไปกว่าหน้าตาที่น่ารักของ ‘สตรอเบอรี่ชอทเค้ก’

ไวท์ชอคโกแลตชีส

เต็มรสชาติ ทั้งชีส ทั้งไวท์ชอคโกแลต หวาน หอม มัน ลดความเลี่ยนด้วยการปรุงรสเปรี้ยวของมะนาวลงไปเล็กน้อยเพื่อความกลมกล่อม เคลือบด้วยไวท์ชอคโกแลต ทานพร้อมกับเนื้อคุกกี้ดาร์คกัวชอกโกแลตที่เข้มข้นตกแต่งเพิ่มสีสันด้วยกลีบส้ม และสตรอเบอรี่สด

ดาร์คชอคโกแลตกานาช

เค้กสำหรับคนรักชอคโกแลตที่ร้านนำเสนอ เริ่มจากหน้าเค้กที่เคลือบกราเซ่ย์ชอคโกแลตสูตรลับ ตามมาด้วยเนื้อเค้ก อัลมอนด์บิสกิตรสชอคโกแลตสลับชั้นกับกานาชชอคโกแลตรสเข้ม และปิดท้ายด้วยป้าย ‘Mont Blanc’ สีเหลืองทองที่ทำจากชอคโกแลตเช่นกัน ถ้าแน่ใจว่าเป็นคอชอคโกแลตตัวจริง

สตรอเบอรี่มูสเรดเบอรี่

สตรอเบอรี่มูสนุ่มละมุนหอมหวานตามแบบฉบับของร้าน ซ่อนความเปรี้ยวไว้ภายในด้วย เจลลี่เรดเบอรี่ แล้วนำไปวางบนเนื้อเค้กอัลมอนด์บิสกิต เคลือบด้วยแยมใส ประดับอีกเล็กน้อยด้วยป้ายชื่อร้าน ‘Mont Blanc’ ที่ทำจากไวท์ชอคโกแลต และที่ขาดไม่ได้ สตอรเบอรี่สดชิ้นพอคำ ไม่ต้องแปลกใจเลยที่คุณอยากจะลิ้มลองทุกครั้งที่เห็น

ชอคโกแลตมูสคาราเมล

เค้กรูปโดม เคลือบด้วยชอกโกแลตที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ของมูสชอคโกแลตรสเข้มข้น ผสมกับความหวานหอมที่สอดไส้ตรงกลางด้วยไส้คัสตาสคาราเมลตั้งอยู่บนฐานเค้กบิสกิตชอคโกแลต จัดว่าเป็นเค้กหน้าตาสวยงาม และรสชาติน่าลิ้มลองอีกชิ้น

โอเปรา

เค้กเนื้ออัลมอนบิสกิต ทาทับด้วยดาร์คชอคโกแลตรสเข้ม ใส่ครีมเนยสดรสกาแฟ สลับชั้นกันกับเนื้อเค้กอัลมอนด์บิสกิตที่ชุ่มน้ำเชื่อมกาแฟเอสเปรสโซผสมบรั่นดีทำให้รสชาติกลมกล่อมและหอมละมุน เพิ่มความเข้มข้นด้วยกราเซ่ย์ชอคโกแลต ตามแบบฉบับของโอเปรา เค้กขึ้นชื่อใน ฝรั่งเศส

สตรอเบอรี่ทีรามิสุ

ชีสเค้กจานโปรดของชาวอิตาลี ที่รู้จักกันในชื่อ ‘ทีรามิสุ’ ได้ถูกดัดแปลงโดยการใช้ช้ำเชื่อมสตรอเบอรี่สูตรพิเศษเฉพาะของร้าน แทนที่น้ำเชื่อมกาแฟแบบดั้งเดิมเพิ่มด้วยการตกแต่งเนื้อสตรอเบอรี่สดกลิ่นหอม รสชาติอมหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ที่เมื่อนำมาลิ้มรสพร้อมไปกับครีมชีสและเค้กเนื้อนุ่ม รับรองได้ว่า ‘สตรอเบอรี่ทีรามิสุ’ ต้องอยู่ในเมนูที่คุณจะพลาดไม่ได้

ไวท์ชอกโกแลต & บลูเบอรี่มูส

เค้กตัวเก่งของร้าน ที่ถูกปากถูกใจทุกเพศทุกวัย เพราะความลงตัวของมูสไวท์ชอกโกแลตรสชาติหวานมัน เนื้อเค้กอุดมไปด้วยรสโกโก้เข้มข้น ที่ตัดด้วยรสเปรี้ยวนิดๆ ของมูสเบอรี่ เติมแต่งความสวยงามด้วยแยมใสสีม่วง ปิดท้ายกับเชอรี่ดำและแผ่นไวท์ชอกโกแลตน่ารักๆ หากได้ลิ้มรสชาติรับรองได้เลยว่าคุณต้องติดใจเค้กสีขาวม่วงชิ้นนี้...

ราสเบอรี่มูส & กานาช

มูสเค้กรสชาติหลากหลายอารมณ์ ที่รวมกันออกมาได้ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นรสเปรี้ยวแบบเฉพาะตัวของราสเบอรี่ รสหวานของกานาชมิวล์ชอคโกแลต ที่สอดไส้อยู่ภายใน และรสขาติของไวท์ชอคโกแลตสีแดงที่เคลือบบางๆ

มองบลังค์

รสชาติหลากหลาย ที่มาจากครีมเกาลัดที่ละลายในปาก ให้ความรู้สึกของขนมที่ชื่อ ‘มองบลังค์’ ฐานเค้กอัลมอนด์ ผสานกับเนื้อครีมเกาลัดตามแบบต้นตำรับจากฝรั่งเศส ที่ม้วนตัวพันรอบทิวป์ครีมเนื้อนุ่มละมุน ทำให้เกิดรสชาติหวานมันอย่างลงตัว

แบล็กฟอเรสต์

แบล็กฟอเรสต์ ช็อกโกแลตแท้ ๆ รสเลิศ ครีมละมุน เชอร์รี่สด ประดับหน้าเกล็ด ช็อกโกแลตโรยรอบ ความอร่อยรสเลิศ

Caramelita (มูสคาราเมล)


Caramelita (มูสคาราเมล)